ความเป็นมาของวิชาเศรษฐศาสตร์
การศึกษาเรื่องการกินดีอยู่ดีมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว นักปราชญ์สมัยโบราณพยายามสอดแทรกแนวความคิดและกฎเกณฑ์ทางเศรษฐศาสตร์ปะปนกันอยู่ในหลักจริยธรรม
ปรัชญาและคำสั่งสอนในศาสนาต่างๆเช่น หลักปรัชญาของ โสคราตีส (Socrates) เพลโต (Plato)
หรือคำสั่งสอนในศาสนาพุทธ อิสลาม
แต่ความคิดเหล่านี้ยังไม่ถือเป็นทฤษฎีหรือหลักเกณฑ์ทางเศรษฐศาสตร์ที่จะใช้วิเคราะห์
วิจัย ปรากฎการณ์หรือเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ส่วนใหญ่จะอภิปรายในเรื่องปรัชญา ศาสนา
ศีลธรรม ความยุติธรรม การปกครอง
อย่างไรก็ดีได้มีบุคลต่อไปนี้บันทึกข้อเขียน แนวความคิดเศรษฐศาสตร์ไว้บ้าง
เช่น
เพลโต (Plato) เป็นนักปรัชญาชาวกรีกมีแนวคิดในเรื่อง
“การแบ่งงานกันทำ ” (Division of
Labor)
ความต้องการและความต้องการของมนุษย์แต่ละคนมีความแตกต่าง
ถ้าทุกคนทำงานเหมาะกับความสามารถของตนมากที่สุดจะทำให้เกิดผลผลิตมากที่สุด
อีกทั้งเสียค่าใช้จ่ายน้อย แรงงานลดลง
และทำให้เกิดความชำนาญเฉพาะอย่าง
ย่อมทำให้เกิดผลผลิตได้มากขึ้นไปอีก โดยนำมาแลกเปลี่ยน
มีเงินเป็นสื่อกลางการค้าขายจะดำเนินต่อไปอย่างสะดวก
อริส โตเติล (Aristotle) เป็นนักปรัชญาชาว
กรีก มีแนวความคิดในความมั่งคั่ง 2 ประการคือ
1. ความมั่งคั่งที่แท้จริง มีอยู่ตามธรรมชาติและมีอยู่อย่างจำกัด ไม่สามรถสร้างเพิ่มขึ้นได้ เช่น ที่ดิน
แร่ธาตุต่างๆ น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ
2. ความมั่งคั่งที่ต้องแสวงหา เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์และคิดค้นขึ้น
ไม่จำกัด เช่น
การแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้า ซึ่งอยู่กับความพยายามของมนุษย์แต่ละบุคคลเพื่อที่จะแสวงหาให้ได้มาความมั่งคั่งที่ได้จากการซื้อขายสินค้ารั้นเป็นการเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีคุณธรรม
เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ไม่มีที่สิ้นสุด
และมนุษย์จะต้องกำหนดมูลค่าของเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนอยู่เสมอ จากอดีตจนถึงปัจจุบันไม่มีที่สิ้นสุด
อริสโตเติล กล่าวว่า
มูลค่าหมายถึงสินค้าทุกอย่าง
ที่สามรถสนองความต้องการได้ เช่น
การปลูกข้าว เมื่อนำมารับประทานเอง
เรียกว่า “มูลค่าในการใช้” และเมื่อมีมากเหลือใช้ก็นำไปใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกับสินค้าชนิดอื่นๆ เช่น
เสื้อผ้า อาหาร เครื่องใช้ต่างๆ ตามที่ต้องการ
เรียกว่า “มูลค่าในการแลกเปลี่ยน” ดังนั้นมูลค่าจึงไม่ได้วัดจากคุณภาพของสินค้า
แต่วัดจากประโยชน์ในการใช่สอย
ต้นทุนการผลิต เช่น แรงงาน
และปัจจัยการผลิต
โมมัส
อไควนัส (Thomas Aquinas) นักบวชในศาสนาคริสต์ ชาวอิตาเลียน
มีแนวความคิดว่าควรจะนำหลักคำสั่งสอนของของศาสนาเรื่องศีลธรรมจรรยา
มาใช้กับหลักด้านเศรษฐศาสตร์เพื่อลดความเห็นแก่ตัวลง ความมั่งคั่งของมวลมนุษย์มีทั้งคุณและโทษ
เมื่อใช้ไปในทางที่ดีก็จะเกิดประโยชน์ และถ้านำไปใช้ในทางที่ไม่ดีก็จะเกิดโทษ ทำให้ศีลธรรมจรรยาของสังคมเสื่อมลง
อไควนัส
ได้ให้ความเห็นในเรื่องมูลค่าของสิ่งของว่า “ควรเป็นราคายุติธรรม” ราคายุติธรรมจึงไม่ถูกไม่แพง
เป็นราคาที่ดีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับท้องถิ่น
เวลา การเสี่ยงภัย การขนส่ง
ดังนั้นมูลค่าที่แท้จริงของสินค้าควรเท่ากับต้นทุนการผลิตจึงจะยุติธรรม
เพราะต้นทุนการผลิตสมัยนี้นั้นมีเฉพาะค่าแรงงานอย่างเดียว
การผลิตส่วนใหญ่ทำกันในครอบครัว
ปัจจัยการผลิต
สังคมมนุษย์ได้ค่อยๆเปลี่ยนแปลงมาตลอด
กิจกรรมการผลิตก็มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร จนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 – 16 ซึ่งเป็นยุคที่การค้าทางยุโรปเริ่มเจริญรุ่งเรืองพ่อวาณิชในเมืองเริ่มเป็นศูนย์กลางการค้าและมีความเห็นว่าการค้าขายซึ่งจะนำความมั่งคั่งมาสู่รัฐหรือประเทศได้นั้น
จะต้องหาทางส่งสินค้าออกให้มีมูลค่ามากกว่าการสั่งสินเข้า คือ
การมีการค้าเกินดุลนั่นเอง ความคิดนี้ก่อให้เกดลัทธิทางเศรษฐกิจ (Economics
Doctrine) ที่เรียกกันว่า “ลัทธิพาณิชย์นิยม”
(Mercantilism) ลัทธินี้ได้นิยมเรื่อยมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 จึงเริ่มเสื่อมความนิยมลง
และในขณะเดียวกันได้มีนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษบุคคลแรกที่วางรากฐานวิชานี้คือ อดัม
สมิธ (Adam Smith, 1723 – 1790 ) ผู้ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นบิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์
และได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้น ชื่อ “An Inquiry into the
Nature and Causes of the
Wealth of Nations” ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1776 หนังเล่มนี้มีสองตอนตอนที่หนึ่งกล่าวถึงการพัฒนาเศรษฐกิจ ตอนที่สองกล่าวถึงเรื่องทั่วๆไปทางเศรษฐศาสตร์
ได้แก่ มูลค่า (value) ของเศรษฐทรัพย์ต่างๆ (สินค้า
ที่ดิน แรงงาน ทุน
และผู้ประกอบการ)
การค้าระหว่างประเทศ การคลัง รัฐบาล
งานสาธารณะ การเก็บภาษีอากร
เนื้อเรื่องตอนที่สองยังตอนแก้ไขเพิ่มเติมอีกมากอย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้ก็ได้อำนวยประโยชน์ให้กับนักเศรษฐศาสตร์ในรุ่นต่อมาใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงเนื้อหาวิชานี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
ในเนื้อหาเล่มนี้คัดค้านแนวความคิดของพวกพาณิชย์นิยม โยชี้ให้เห็นว่า หากปล่อยให้ทุกคนเป็นอิสระ
โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองแล้วจะเป็นแรงกระตุ้นให้ให้ผลผลิตประชาชาติสูงขึ้น
ทั้งนี้ อดัม สมิธ
ได้เสนอหลักแห่งการแบ่งงานกันทำ (Division of
Labor) ตามความถนัดของแต่ละบุคคล และเชื่อว่าหากรัฐบาลไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจปล่อยให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการโดยอิสระในการบริโภค (consumption)
การผลิตสินค้าและบริการ (production) ภายใต้กรอบกฎหมายและ จริยธรรมซึ่งเรียกกันว่าเศรษฐกิจแบบเสรี (Laissery faire) จะช่วยให้ประเทศชาติมีเศรษฐกิจรุ่งเรือง ต่อมาปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
อัลเฟรด มาร์แชล (Alfred Marshall) ได้เสนอทฤษฎีว่าด้วยการผลิต
(Theory of the
Firm) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่มาของทฤษฏีเศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomicr Theory) พอถึงปีถึง ค.ศ. 1930
ได้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงทั่วโลก อันเป็นผลมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1
ในภาวการณ์ดังกล่าวนี้ได้มีนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษท่านหนึ่งชื่อ Lord
John Maynard Keynes เสนอทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการจ้างงาน ดอกเบี้ย
และเงิน
เขาได้คัดค้านแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์รุ่นก่อน
ซึ่งในปัจจุบันเรามักเรียกนักเศรษฐศาสตร์รุ่นก่อนเคนส์ เช่น
เดวิด ริคาร์โด (Devid Ricardo) เจมส์ มิลล์
(James Mill) ว่านักเศรษฐศาสตร์สมัยคลาสสิค (Classical Economist) เคนส์ เสนอแนะให้รัฐบาลใช้นโยบายการคลัง
และนโยบายการเงินเข้าแก้ไขเศรษฐกิจตกต่ำในขณะนั้น
โดยให้รัฐบาลเข้าแทรกแซง และมีบทบาทกับภาคเอกชนมากขึ้น ทฤษฎีว่าด้วยการจ้างงาน นี้ต่อมาได้กลายเป็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหาภาค (Macroeconomics Theory)
และทำให้เกิดลัทธิเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมรูปใหม่ที่เรียกว่า ระบบเสรีวิสาหกิจ (free enterprise system)
สำหรับความเป็นมาของวิชาเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทย ตามที่
เอนก เธียรถาวร และคณะ
(2531 : 6-7) กล่าวว่า ตามหลักศิลาจาลึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลา
ในนามีข้าว
เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง
เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า” ซึ่งสรุปได้ว่า เมืองสุโขทัยมีความอุดมสมบูรณ์ อุดมไปด้วยข้าวปลาอาหาร ประชาชนมีเสรีภาพในการค้าและไม่เก็บภาษีจากไพร่ นอกจากนี้
สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชยังมีการทำการค้ากับต่างประเทศคือสาธารณรัฐประชาชนจีนในปัจจุบันมีการส่งทูตไปเจราจาแลกเปลี่ยนสัมพันธไมตรีกันต่อมาในสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์
ประเทศไทยก็ได้มีการค้าขายกับต่างประเทศ และเริ่มรับเอาวิทยาการทางเศรษฐศาสตร์
จากต่างประเทศ เช่น การผลิตเหรียญกษาปณ์
การคลัง การธนาคาร การค้า
แต่ก็เป็นเพียงการปฏิบัติเท่านั้น
ยังมิได้รวบรวมไว้เป็นหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องแน่นอนจนกระทั่งสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2454 พระยาสุริยานุวัตร์ ได้พิมพ์หนังสือเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของไทยชื่อ
“ทรัพยศาสตร์”แต่ได้ถูกรัฐบาลในสมัยนั้นขอร้องมิให้นำออกเผยแพร่แก่สาธารณชน จนมาในสมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
จึงได้นำออกมาพิมพ์ใหม่มีชื่อว่า “เศรษฐศาสตร์วิทยาภาคต้น เล่ม 1 “ มีสาระว่าด้วยการสร้างทรัพย์การแบ่งปันทรัพย์หรือการกระจายรายได้
ต่อมาในปี พ.ศ. 2459 กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส)
ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ “ตลาดเงินตรา” (Money
Market) แต่การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ในสมัยนั้นก็ยังไม่จริงจังและเผยแพร่
ในช่วงเวลานี้ นาย สหัส กาญจนพังคะ
ได้แปลหนังสือ “The Principles
of Political Economy” ของศาสตร์ตราจารย์ชาร์ล จีด (Charle Gide) ชาวฝรั่งเศส จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย
และใช้ชื่อว่า “หลักเศรษฐศาสตร์ของชาร์ล จีด “ พิมพ์ออกจำหน่อยเมื่อกลางปี
พ.ศ. 2479 ในระยะเดียวกันคุณพระสารสาสน์พลขันธ์ได้เขียนตำราเศรษฐศาสตร์ขึ้นสองเล่ม
คือ เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยเศรษฐกิจการค้าและเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการเงิน
ซึ่งได้จัดพิมพ์ขึ้นใน พ.ศ. 2480
และ 2481 ตามลำดับซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้แก่ประชาชนไทยตื่นตัวในการทำการค้า
การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ได้ชะงักไปชั่วคราวเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น
แต่ในระหว่างสงครามโลกนี้ได้มีนักเศรษฐศาสตร์ของสองท่านคือ นายบุญมา
วงศ์สวรรค์ เขียนหนังสือชื่อ “เศรษฐศาสตร์ในเวลาสงคราม” และ ดร.
ทองเปลว ชลภูมิ เขียนหนังสือ “ทฤษฎีเงินตรา”
และเมื่อ 14
มิถุนายน พ.ศ. 2492
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้แบ่งออกเป็น 4
คณะได้แก่ นิเทศศาสตร์
รัฐศาสตร์
พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
และเศรษฐศาสตร์
จากนั้นมาจนถึงวันนี้การศึกษาเศรษฐศาสตร์จึงแพร่หลายและพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างมากโดยเฉพาะในสมัยของ
ศาสตราจาย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์
ผู้มีส่วนสำคัญในการปฎิรูปการสอนและการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทย ปัจจุบันได้มีการศึกษาวิชาดังกล่าวทั้งในปริญญาตรี โท
เอก โดยตรงของคณะเศรษฐศาสตร์นอกจากนี้วิชาเศรษฐศาสตร์ยังได้แพร่หลายขยายการศึกษาออกไปสู่ระดับต่างๆ
ทั้งในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา
บรรณานุกรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น